สรุปความเข้าใจหลักสูตร
![]() |
หลักสูตบูรณาการ
เป็นหลักสูตรที่พัฒนามาจากหลักสูตรกว้างโดยนำเอาเนื้อหาวิชาต่างๆ มาหลอมรวม ทำให้เป็นเอกลักษณ์ของแต่ละวิชาหมดไปการผสมผสานเนื้อหาวิชาต่างๆ เข้าเป็นเนื้อเดียวกัน
ลักษณะของหลักสูตรบูรณาการที่ดี
1. บูรณาการระหว่างความรู้และกระบวนการเรียนรู้ การเรียนรู้มีประสิทธิภาพเราจำเป็นต้องให้กระบวนการเรียนรู้มีความสัมพันธ์อย่างใกล้ชิดกับความรู้ ผู้เรียนจะต้องทราบว่าตนจะแสวงหาความรู้ได้อย่างไรและด้วยกระบวนการอย่างไร
2. บูรณาการระหว่างพัฒนาการทางความรู้และพััฒนาการทางจิตใจ ถ้าผู้เรียนได้รับประสบการณ์ที่สร้างความรู้สึกพึงพอใจและประทับใจ ก็จะมุ่งมั่นในการเรียนและเรียนรู้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ การสร้างบูรณาการระหว่างความรู้และจิตใจจึงเป็นสิ่งจำเป็น
3. บูรณาการระหว่างควมรู้และการกระทำ การสร้างสหสัมพันธ์ระหว่างความรู้และการกระทำมีความสำคัญ โดยเฉพาะในด้านจริยศึกษาการเรียนรู้เรื่องค่านิยม
4. บูรณาการระหว่างสิ่งที่เรียนในโรงเรียนกับสิ่งที่เป็นอยู่ในชีวิตประจำวัน สอนในห้องเรียนนั้นมีความหมายและมีคุณค่าต่อชีวิตของผู้เรียน
5. บูรณาการระหว่างวิชาต่างๆ เพื่อให้ผู้เรียนได้รับความรู้และเกิดเจตคติตามที่ต้องการ
รูปแบบของบูรณาการ มี 3 รูปแบบ
1. บูรณาการภายในหมวดวิชา
2. บูรณาการภายในหัวข้อและโครงการ
3. บูรณาการโดยการผสมผสานปัญหาและความต้องการของผู้เรียนและสังคม
หลักสูตรกว้าง
เป็นหลักสูตรอีกแบบหนึ่งที่พยายามแก้ไขจุดอ่อนของหลักสูตรรายวิชา ช่วยให้ผู้เรียนมีความเข้าใจและสามารถปรับตนให้เข้ากับสภาวะแวดล้อม หลักสูตรกว้างเกิดขึ้นที่ประเทศอังกฤษและในปี ค.ศ. 1914 สหรัฐอเมริกาเริ่มเอาหลักสูตรมาใช่เป็นครั่งแรกประเทศไทยได้นำเอาหลักสูตรมาใช่ในปี พ.ศ. 2503 โดยเรียงเนื้อหาต่างๆที่คล้ายคลึงกันเข้าไว้ในหลักสูตร
ลักษณะสำคัญของหลักสูตร
1. จุดหมายของหลักสูตรมีขอบข่ายกว้างขวางกว่าหลักสูตรรายวิชา
2. จุดประสงค์แต่ละหมวดวิชา เป็นจุดประสงค์ร่วมกันของวิชาต่างๆที่นำมารวมกัน
3. โครงสร้างหลักสูตรที่มีลักษณะเป็นการนำเอาเนื้อหาของแต่ละวิชาซึ่งได้เลือกสรรแล้วมาเรียงลำดับเข้ากัน
ส่วนดีส่วนเสียของหลักสูตร
ส่วนดี
1. เป็นหลักสูตรที่ทำให้วิชาต่างๆที่มีลักษณะคล้ายคลึงกัน มีความสัมพันธ์กันดีขึ้น
2. ในการสอนทั้งผู้เรียนและผู้สอนเกิดความเข้าใจ
3. เป็นหลักสูตรที่ส่งเสริมให้มีกิจกรรมการเรียนการสอนได้อย่างกว้างขวาง
ส่วนเสีย
1. มีแนวโน้มที่จะรักษาเอกลักษณ์ของแต่ละวิชาไว้ ทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างวิชาขาดหายไป
2. ลักษณะของหลักสูตรทำให้การเรียนการสอนไม่ส่งเสริมให้เกิดความรู้
3. ผู้สอนอาจสอนไม่ดีเพราะขาดความรู้บางวิชา
4. การสอนไม่บรรลุจุดประสงค์
หลักสูตรประสบการณ์
เกิดขึ้นเพื่อแก้ไขปัญหาที่ว่าหลักสูตรเดิมที่ใช้อยู่ ไม่ว่าจะเป็นหลักสูตรรายวิชาหรือหลักสูตรกว้างหลักสูตรนี้มีชื่อว่าหลักสูตรกิจกรรม
วิวัฒนาการของหลักสูตร
หลักสูตรประสบการณ์ถูกนำมาใช้ครั้งแรกที่โรงเรียนทดลอง ประเทศสหรัฐอเมริกา เมื่อปี ค.ศ. 1896 โดยจอห์นและแมรีดิวอี้ มีแนวคิดที่ว่า ถ้าจะให้ผู้เรียนสนใจและเกิดความกระตือรือร้นในการเรียนจะต้องอาศัยแรงกระตุ้น 4 อย่างคือ
1.แรงกระตุ้นทางสังคม
2. แรงกระตุ้นทางสร้างสรรค์
3. แรงกระตุ้นทางการค้นคว้าทดลอง
4. แรงกระตุ้นทางการแสดงออกด้วยคำพูด การกระทำ และทางศิลปะ
ลักษณะสำคัญของหลักสูตร
1. ความใจของผู้เรียน เป็นตัวกำหนดเนื้อหาและเค้าโครงหลักสูตร
2. วิชาที่ผู้เรียนทุกคนต้องเรียน คือวิชาที่ผู้เรียนมีความสนใจรวมกัน ความสนใจรวมกันจะต้องอาศัยความรู้เรื่องพัฒนาการของเด็ก
3. โปรแกรมการสอนไม่ได้กำหนดไว้ล่วงหน้า ในหลักสูตรแบบนี้ผู้สอนไม่สามารถกำหนดกิจกรรมการเรียนล่วงหน้าได้ แต่ต้องสำรวจความสนใจของผู้เรียนแต่ละคนและทั้งชั้น
4. ใช้วิธีแก้ปัญหาเป็นหลักใหญ่ในการเรียนการสอน ในหลักสูตรนี้ผู้สอนและผู้เรียนรวมกันพิจารณาตัดสินว่าควรจะทำกิจกรรมอะไร
ปัญหาของหลักสูตรประสบการณ์
1. ปัญหาการกำหนดวิชาในหลักสูตร
2. ปัญหาการจัดแบ่งวิชาเรียนในชั้นต่างๆ
หลักสูตรรายวิชา
เป็นหลักสูตรที่ใช้กันมาตั้งแต่เดิมไม่เฉพาะแต่ในยุโรปหรือสหรัฐอเมริกาเท่านั้น ประเทศในเอเชียรวมทั้งประเทศไทยก็ได้ใช้หลักสูตรแบบนี้มาแต่ต้น โครงส้างของเนื้อหาวิชาในหลักสูตร จะแยกออกจากกันเป็นรายวิชาโดยไม่จำเป็นต้องมีส่วนเกี่ยวข้องกัน ไม่ว่าด้านเนื้อหาหรือการสอน สำหรับเนื้อหาที่คัดมาถือว่าเป็นเนื้อหาที่สำคัญและจำเป็นต่อการเรียนรู้
ลักษณะสำคัญของหลักสูตร
1. จุดมุ่งหมายของหลักสูตร มุ่งส่งเสริมพัฒนาการของผู้เรียนโดยใช้วิชาต่างๆ
2. จุดมุ่งหมายของหลักสูตร อาจสัมพันธ์กับสังคมหรือไม่ก็ได้และทั่วไปหลักสูตรนี้ไม่คำนึงถึงผลที่เกิดแก่สังคมเท่าไร
3. จุดประสงค์ของแต่ละวิชาในหลักสูตร เน้นการถ่ายทอดเนื้อหาวิชาเพื่อให้ผู้เรียนมีความรู้และลักษณะในวิชานั้นๆ
4. โครงสร้างของเนื้อหาวิชา ประกอบด้วยเนื้อหาของแต่ละวิชาที่เป็นเอกเทศไม่เกี่ยวข้องกับวิชาก่อน
5. กิจกรรมการเรียนการสอน เน้นเรื่องการถ่ายทอดความรู้ด้วยการมุ่งให้ผู้เรียนจำเนื้อหาวิชา
6. การประเมิณผลการเรียนรู้ มุ่งในเรื่องความรู้และทักษะในวิชาต่างๆ
ส่วนดีส่วนเสียของหลักสูตร
ส่วนดี
เน้นเนื้อหาวิชา
2. เนื้อหาวิชาจะถูกจัดไว้ตามลำดับขั้นอย่างมีระบบ
3. จัดเนื้อหาวิชาอย่างมีระบบ
4. ประเมินผลการเรียนได้ง่าย
ส่วนเสีย
1. ละเลยต่อสภาพและปัญหาของสังคมและท้องถิ่น
2. เน้นเนื้อหา ทำให้ผู้เรียนไม่ได้ส่งเสริมพัฒนาการในด้านอารมณ์และสังคมเท่าที่ควร
3. ทำให้ผู้เรียนละเลยการเรียนรู้อื่นๆที่เกิดขึ้นในระหว่างที่เรียนเนื้อหา
ปรับปรุงหลักสูตร มี 2 แบบ
1. จัดเรียงลำดับเนื้อหาให้ต่อเนื่องกัน การจัดมีอยู่ 2 แบบ
1.1 จัดให้ต่อเนื่องตามแนวนอน
1.2 จัดต่อเนื่องในแนวตั้ง
2. จัดโดยการเชื่อมโยงเนื้อหาเข้ากัน มีอยู่ 2 ระดับ
2.1 ระดับความคิด
2.2 ระดับโครงสร้าง
หลักสูตรแกน
กำเนิดขึ้นที่สหรัฐอเมริกาเมื่อประมาณปี ค.ศ. 1900 ด้วยเหตุผล 2 ประการ ตือ ความพยายามที่จะให้หลุดพ้นจากการเป็นหลักสูตรรายวิชาและความพยายามที่จะดึงเอาความต้องการและปัญหาของสังคมเป็นศูนย์กลางของหลักสูตร
วิวัฒนาการของหลักสูตร
หลักสูตรแกน เริ่มใช้วิชาเป็นกลางโดยเชื่อมเนื้อหาของวิชาที่สามารถนำมาสัมพันธ์กันได้ เข้าด้วยกัน แล้วกำหนดหัวข้อขึ้นให้มีลักษณะเหมือนวิชาใหม่หลักสูตรแกนในเอเชีย
ประเทศในภูมิภาคเอเชียที่ใช้หลักสูตรแกนในปัจจุบันนี้มีหลายประเทศ เช่น จีน อินเดีย อินโดนีเซีย เนปาน ฟิลิปปินศ์ ศรีลังกา ไทย เวียดนาม ออสเตรเลีย ญี่ปุ่น และนิวซีแลนด์ เพื่อช่วยให้มองเห็นภาพของหลักสูตรแกนของต่างประเทศต่างๆ ในเอเชียชัดเจนยิ่งขึ้น
สรุปเกี่ยวกับหลักสูตรแกน
หลัดสูตรแกนเป็นหลักสูตรที่บังคับให้ทุกคนต้องเรียน อาจเป็นส่วนหนึ่งของหลักสูตรแม่บท ซึ่งจุดเน้นของหลักสูตรจะอยู่ที่วิชาหรือสังคม ส่วนใหญ่จะเน้นสังคมโดยยึดหน้าที่ของบุคคลในสังคม หรือปัญหาสังคม หรือการสร้างเสริมสังคมเป็นหลัก
หลักสูตรแฝง
การสอนคุณธรรม จริยธรรม และความเป็นพลเมืองดีให้แก่นักเรียน เด็กเหล่านี้ได้รับการปลูกฝัง และอบรมสั่งสอนจากครูอย่างจริงจัง
ความหมาย
เป็นหลักสูตรที่ไม่ได้กำหนดแผนการเรียนรู้เอาไว้ล่วงหน้าและเป็นประสบการณ์การเรียนรู้ที่โรงเรียนไม่ได้ตั้งใจจะจัดให้ โดยไม่ตั้งใจจากการสอนตามหลักสูตรปกติมนรูปของกฎเกฑณ์ที่กำหนดขึ้นมา และเรียนรู้จากสภาพการณ์และเงื่อนไขเชิงสังคมและเชิลกายภาพที่โรงเรียนจัดให้
หลักสูตรแฝงกับพฤติกรรมการเรียนรู้ด้านจิตพิสัย
การสอนให้เกิดการเรียนรู้ทางด้านพุทธิพิสัย และทักษะพิสัย ซึ่งเป็นเรื่องเกืี่ยวกับผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนมีการสอนและประเมินผลที่จัดให้เกิดความสอดคล้องกัน
ชิลเบอร์เมน (Silberman, 1970 : 9) สิ่งที่นักการศึกษาตระหนักให้มากก็คือ วิธีการที่เขาสอนและการกระทำของพวกเขามีความสำคัญมากกว่าสิ่งที่เขาสอนก็คือ วิถีทางที่เรากระทำกับสิ่งต่างๆ จะสร้างค่านิยมได้ตรงกว่าและประสิทธิผลมากกว่าที่เราสอนหรือพูดคุยโดยตรง
โคลเบอร์ก (Kopiberg, 1970 : 120) มีตวามเชื่อและจุดยืนเดียวกันเกี่ยวกับความสำคัญและอิทธิพลของหลักสูตรแฝงในรูปแบบของการเรียนรู้ทางสังคม
แจ๊คสัน ( Jackson, 1968 : 36) ได้ศึกษาลักษณะของห้องเรียนและได้ชี้ให้เห็นถึงธรรมชาติของกระบวนการเรียนรู็ทางสังคมและความสำคัญของหลักสูตรแฝงว่า ในขณะที่ใช้ชีวิตอยู่ในโรงเรียน นักเรียนรู้ที่จะปรับตนเองให้สอดคล้องกับเจตจำนงครู
สรุปหลักสูตรแฝง
หลักสูตรแฝงมีความสำคัญต่อการเรียนรู้ในด้านค่านิยมและจริยธรรมของนักเรียน หลักสูตรแฝงเป็นยุทธหรืออุบายในการสอนจริยธรรมและสิ่งที่ดีงามได้แก่เยาวชน
ความหมาย
เป็นหลักสูตรที่ไม่ได้กำหนดแผนการเรียนรู้เอาไว้ล่วงหน้าและเป็นประสบการณ์การเรียนรู้ที่โรงเรียนไม่ได้ตั้งใจจะจัดให้ โดยไม่ตั้งใจจากการสอนตามหลักสูตรปกติมนรูปของกฎเกฑณ์ที่กำหนดขึ้นมา และเรียนรู้จากสภาพการณ์และเงื่อนไขเชิงสังคมและเชิลกายภาพที่โรงเรียนจัดให้
หลักสูตรแฝงกับพฤติกรรมการเรียนรู้ด้านจิตพิสัย
การสอนให้เกิดการเรียนรู้ทางด้านพุทธิพิสัย และทักษะพิสัย ซึ่งเป็นเรื่องเกืี่ยวกับผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนมีการสอนและประเมินผลที่จัดให้เกิดความสอดคล้องกัน
ชิลเบอร์เมน (Silberman, 1970 : 9) สิ่งที่นักการศึกษาตระหนักให้มากก็คือ วิธีการที่เขาสอนและการกระทำของพวกเขามีความสำคัญมากกว่าสิ่งที่เขาสอนก็คือ วิถีทางที่เรากระทำกับสิ่งต่างๆ จะสร้างค่านิยมได้ตรงกว่าและประสิทธิผลมากกว่าที่เราสอนหรือพูดคุยโดยตรง
โคลเบอร์ก (Kopiberg, 1970 : 120) มีตวามเชื่อและจุดยืนเดียวกันเกี่ยวกับความสำคัญและอิทธิพลของหลักสูตรแฝงในรูปแบบของการเรียนรู้ทางสังคม
แจ๊คสัน ( Jackson, 1968 : 36) ได้ศึกษาลักษณะของห้องเรียนและได้ชี้ให้เห็นถึงธรรมชาติของกระบวนการเรียนรู็ทางสังคมและความสำคัญของหลักสูตรแฝงว่า ในขณะที่ใช้ชีวิตอยู่ในโรงเรียน นักเรียนรู้ที่จะปรับตนเองให้สอดคล้องกับเจตจำนงครู
สรุปหลักสูตรแฝง
หลักสูตรแฝงมีความสำคัญต่อการเรียนรู้ในด้านค่านิยมและจริยธรรมของนักเรียน หลักสูตรแฝงเป็นยุทธหรืออุบายในการสอนจริยธรรมและสิ่งที่ดีงามได้แก่เยาวชน
หลักสูตรสัมพันธ์วิชา
เป็นหลักสูตรรายวิชาเพื่อที่ปรับปรุงแก้ไขข้อบกพร่องต่างๆหลักสูตรสัมพันธืวิชาคือหลักสูตรรายวิชาอีกรูปแบบหนึ่ง แต่เป็นหลุกสูตรที่นำเอาเนื้อหาของวิชาต่างๆ ที่สอดคล้องหรือส่งเสริมซึ่งกันและกัน มาเชื่อมโยงเข้ากันแล้วจัดสอนเนื้อหาเหล่านั้นในคราวเดียวกัน
วิธีการที่ใช้ในการสัมพันธ์วิชา 3 วิธี คือ
1. สัมพันธ์ในข้อเท็จจริง คือใช้ข้อเท็จจริงของวิชาส่วนหนึ่งมาประกอบการสอนอีกวิชาหนึ่งการสอนประวัติศาสตร์ตอนใดตอนหนึ่งถ้าปรากฏว่ามีวรรณคดีเกี่ยวข้อง
2. สัมพันธ์ในหลักเกฑณ์ คือสร้างความสัมพันธ์หรือเชื่อมโยงวิชาจิตวิทยากับสังคมวิทยาเข้าด้วยกัน โดยใช้หลักจิตวิทยาอธิบายเหตุการณ์ในสังคมในวิชาประวัติศาสตร์
3. สัมพันธ์ในเเง่ศีลธรรมและหลักปฏิบัติในสังคม วิธีนี้คล้ายวิธีที่ 2 แค่แตกต่างกันตรงที่ว่าแทนที่จะใช้หลักเกฑณ์หรือแนวคิดเป็นตัวเชื่อมโยง กลับใช้วิธีหลักศีลธรรมและหลักปฏิบัติของสังคมเป็นเครื่องอ้างอิง
สรุปหลักสูตรสัมพันธ์
หลักสูตรสัมพันธ์วิชาที่ปรับปรุงขึ้นมาจากหลักสูตรรายวิชานี่ มีประโยชน์หลายอย่างที่สำคัญคือ ช่วยให้ผู้เรียนมีความสนใจในสิ่งที่เรียนมากขึ้น ทำให้ผู้เรียนมองเห็นโปรแกรมการเรียนการสอนเป็นส่วนรวมชัดเจนขึ้น
หลักสูตรเกลียวสว่าน
ความหมาย
หลักสูตรเกลียวสว่าน หรือบันไดวน (Spiral Curriculum) การจัดเนื้อหาหรือหัวข้อเนื้อหาเดียวกันในทุกระดับชั้น แต่มีความยากง่ายและลึกซึ้งแตกต่างกัน กล่าวคือ ในชั้นต้นๆจะสอนในเรื่องง่ายๆแล้วค่อยเพิ่มความยากและลึกลงไปเรื่อยๆตามระดับชั้นที่สูงขึ้นไปเรื่อยๆ
ที่มาของแนวความคิดเรื่องหลักสูตรเกลียวสว่าน
บรูเนอร์ (Bruner, 1960) เชื่อว่า ในเนื้อหาของแต่ละเนื้อหาวิชาจะมีโครงสร้างและการจัดระบบที่แน่นอน จึงควรนำความจริงในของนี้มาใช้กับการจัดหลักสูตร
หลักสูตรเกลียวสว่านตามแนวคิดของดิวอี้
ดิวอี้ ( Dewey, 1938) มีแนวคิดเรื่องหลักสูตรสว่านแตกต่างไปจากบรูเนอร์ กล่าวคือ ดิวอี้มีความเชื่อว่า การเจริญงอกงามขึ้นอยู่กับการฝึกใช้สติปัญญาในการแก้ปัญหาที่ได้มาจากประสบการณ์การเรียนรู้ของผู้เรียนมากกว่าจากปัญหาที่กำหนดให้จากภายนอก
หลักสูตรสูญ
หลักสูตรสูญหรือ Null Curriculum เป็นความคิดและคำที่บัญญัติขึ้นโดยไอส์เนอร์ (Eisner,1979) เขาได้นิยามหลักสูตรสูญว่า เป็นหลักสูตรที่ไม่ได้มีปรากฏอยู่ให้เห็นในแผนการเรียนรู้ และเป็นสิ่งที่โรงเรียนไม่ได้สอน
เขาได้อธิบายถึงความเชื่อของเขาในเรื่องนี้ว่า สิ่งที่ไม่ปรากฏอยู่ในตัวหลักสูตรและสิ่งที่ครูไม่ได้ โดยให้เหตุผลว่า ความรู้หรือการขาดสิ่งที่ควรจากรู้ไม่ได้เป็นแต่เพียงความว่างเปล่าที่หลายคนอาจคิดว่าไม่ได้สร้างความเดือดร้อนให้แก่ผู้ใด แต่โดยความเป็นจริงแล้ว การขาดความรู้ดังกล่าวย่อมมีผลกระทบที่สำคัญมาก ในแง่ที่ทำให้ผู้เรียนขาดทางเลือกที่เขาอาจนำไปใช้แก้ปัญหาและพัฒนาชีวิตของเขาได้ นั้นก็คือ การขาดความรู้บางอย่างไปอาจทำให้ชีวิตของคนๆ หนึ่งขาดความสมบูรณ์ได้
ประเด็นที่ควรพิจารณา
ประเด็นแรกนี้ สรุปได้ว่า โรงเรียนสร้างผลกระทบให้เกิดแก่ผู้เรียนได้ โดยไม่เพียงแต่จากสิ่งที่สอนเท่านั้น แต่จากสิ่งที่ควรสอนแต่ไม่นำมาสอนอีกด้วย เพราะสิ่งที่นักเรียนไม่มีโอกาสพิจารณาสิ่งที่เขาไม่มีโอกาสรู้และกระบวนการที่เขาไม่มีโอกาสใช้ จะมีผลต่อการดำรงชีวิตของนักเรียน
ประเด็นที่สองที่เกี่ยวกับเนื้อหานั้น ไอส์เนอร์ ชี้แจงว่า โรงเรียนส่วนใหญ่ไม่ว่าในสหรัฐอเมริกาหรือที่ไหนๆ ในโลกนี้ มักจะสอนเนื้อหาเก่าๆ เดิมๆ ซ้ำแล้วซ้ำอีก เขาได้ให้ความเห็นในจุดนี้ว่า เนื้อหาวิชาที่สอนกันเรื่อยมาจนเป็นประเพณีของโรงเรียนนั้นไม่ใช่เป็นเพราะขาดการวิเคราะห์อย่างลึกซึ้งถึงความเป็นไปได้ของการนำเนื้อหาอื่นๆ ใหม่ๆ มาสอน
การนำความคิดของหลักสูตรสูญไปใช้ในการพัฒนาหลักสูตร
หลักสูตรสูญได้แก่สิ่งที่โรงเรียนไม่ได้สอนหรือสิ่งที่ไม่ได้บรรจุไว้ในหลักสูตร และสิ่งที่ขาดหายไปจากหลักสูตรจำแนกออกได้เป็น 3 ด้านคือ สิ่งขาดหายไปในรูปของกระบวนการทางปัญญา เนื้อหา และด้านความรู้-ค่านิยม











ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น